บทนำ

การสร้าง work life balance ในองค์กร เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก มีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าการตื่นนอนขึ้นมาในแต่ละวันของเช้าวันทำงาน เป็นเรื่องที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับตนเองอย่างเหลือคณานับไม่ต่างจาก “อีเย็น” ในละครเรื่องนางทาสที่ถูกกดขี่ทั้งร่างกายและจิตใจสารพัด  สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรไปตลอดชีวิตการทำงานของท่าน

หากทุกวันของการทำงานเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เจอแต่เรื่องเดิมๆ น่าหงุดหงิด มีแต่ความเครียด เจอแต่ความอิจฉาริษยา มีแต่ความผิดพลาด  คงไม่ดีแน่ถ้าเราทุกคนต้องใช้ชีวิตการทำงานในแต่ละวันไปกับเรื่องเหล่านี้ซึ่งทำให้พลังชีวิตของเราหมดลงไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งที่เราตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่า เรากลายเป็นคนแก่ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ที่ไม่มีความสุข มีปัญหาสุขภาพ และไม่เคยได้ทำอะไรตามความหวังและความฝันของตนเองเลยตลอดชีวิตการทำงานกว่า 40 ปี

ผมว่าถึงเวลาแล้วที่คนทำงานต้องลุกขึ้นมาทำงานในตอนเช้า พร้อมกับพลังในการสร้างสรรค์  พลังแห่งความสดชื่นและลงมือสร้างวันทำงานวันนี้ ให้เป็นวันทำงานอันยอดเยี่ยม ด้วยวิธีการง่ายๆ แต่ได้ผลลัพธ์อันน่าทึ่ง

เทคนิคการสร้าง work life balance ในองค์กร สร้างวันทำงานอันยอดเยี่ยม

ใช้ 1 นาทีจินตนาการถึงภาพในวันนั้น

คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับท่านผู้อ่านที่จะ “เสียสละเวลาเพียงแค่ 1 นาทีในทุกเช้านึกภาพที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นว่าจะมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญและคนต่างๆที่เราต้องพบเจอ”   ผมใช้เทคนิคนี้เป็นประจำเวลาที่ต้องทำอะไรบางอย่างซึ่งมีความสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น   เช่น   วันที่ต้องไปบรรยายกับลูกค้ารายใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย    วันที่ต้องไปนำเสนองานที่ปรึกษากับลูกค้ารายสำคัญ    วันที่ไปให้คำแนะนำกับลูกค้าที่กำลังเกิดกรณียากลำบากบางประการในการทำงาน   ต้องเคลียร์ปัญหาค้างคาใจกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้าใจกัน

ผมพบว่าภาพที่ผมใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาทีในการจินตนาการ มันได้เกิดขึ้นจริงในเกือบทุกครั้ง ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น   สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นไปอย่างที่เราจินตนาการ หรือ เกิดขึ้นในทิศทางเดียวกันได้อย่างไร ทั้งเรื่องราว เหตุการณ์ คำพูด สีหน้า แววตาท่าทางทั้งของผมและผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์    แต่ช่างมันเถอะผมไม่สนหรอกว่าเพราะอะไร  ผมแค่รู้ว่าทำแล้วมันดีมีประโยชน์ มันช่วยให้ผมสามารถควบคุมเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่ผมจินตนาการ และที่สำคัญ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละเรื่องที่ผมจินตนาการไว้มันปรากฎออกมาไม่ต่างจากที่จินตนาการไว้

ท่านว่าจะดีไหมถ้าท่านสามารถกำหนดผลลัพธ์ของเรื่องที่เจอได้ง่ายๆด้วยการจินตนาการแค่ 1 นาที แต่สำหรับผมบอกได้เลยว่ามันเยี่ยมมาก

เมื่อใช้เวลา 1 นาทีในทุกเช้าจินตนาการถึงเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น   เสมือนเรารู้เหตุการณ์นั้นล่วงหน้า มันทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในระหว่างวันทำงาน    เมื่อจินตนาการผสมกับบทเรียนจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา   มันยิ่งทำให้ภาพที่เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น แน่นอนเมื่อเรารู้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นตามที่จินตนาการ เราก็รู้ได้ว่าต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง   สิ่งที่จะเกิดขึ้นต้องเลือกใช้คำพูดแบบไหน    ต้องเตรียมใจไว้รับกับเรื่องอะไร   ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นแบบนี้จะรับมือได้อย่างไร  ต้องหาวิธีป้องกันไว้ล่วงหน้าแบบใด   ผมจะเตือนตัวเองทุกครั้งไม่ให้อารมณ์เสียและจะเตรียมสติไว้รับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวเสมอ

ใครจะเชื่อว่าเวลาเพียงแค่ 1 นาทีที่ผมใช้ มันกลับให้ผลตอบแทนกับผมที่คุ้มค่าเหลือเกิน       และเรื่องที่น่าสนใจก็คือ ยิ่งใช้วิธีนี้บ่อยๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมายิ่งใกล้เคียงกับที่จินตนาการมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อผม หากท่านสนใจแค่ลองปฏิบัติดูสัก 1 อาทิตย์ครับ เผื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแบบบที่ผมเจอก็ได้ ถ้าลองแล้วไม่เวิร์ค ท่านก็จะเสียเวลาไปแค่ 7 นาทีเท่านั้นเอง

ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าแล้วมีไหมที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ตรงกับจินตนาการ  ผมตอบได้ทันทีเลยครับว่ามีแน่นอน   เพราะเราไม่สามารถบังคับโลกนี้ให้หมุนตามเราได้ตลอดหรอกครับ   และท่านก็ไม่ควรคิดแบบนั้นด้วย   อย่าทำตัวเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้ ปล่อยให้โลกมันหมุนไปตามที่มันเป็น   แค่เราเรียนรู้และปรับตัวอยู่กับมันให้ได้    ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เป็นไปตามที่เราจินตนาการ   จะไปกลัวอะไรเพราะมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา   ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เก็บเป็นฐานข้อมูลในความทรงจำของคุณ   จะช่วยการจินตนาการครั้งต่อไปให้ภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ลองดูซิครับ

ก่อนที่เราจะเข้าไปในห้องหัวหน้าเพื่อขอให้เขาปรับท่าทีในการทำงาน   ท่านอยากให้หัวหน้าลงมาเอาใจใส่ดูแลพนักงานในทีมให้มากขึ้น   ท่านรู้สึกว่าหัวหน้าโยนงานทุกอย่างมาให้มากเกินไป   อึดอัดใจมาหลายวัน แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร   กลัวหัวหน้าจะไม่พอใจ   กลัวเสียความสัมพันธ์ที่ดีที่เคยมีต่อกัน

ผมเสนอว่าลองนำวิธีจินตนาการ 1 นาทีของผมไปใช้ครับ   นึกภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในห้องทำงานของหัวหน้า    นึกภาพว่าท่านกำลังใช้คำพูดอะไร แล้วหัวหน้ามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำพูดเหล่านั้นของท่าน  เขาตอบคำถามเราด้วยคำพูดแบบไหน   จินตนาการให้ละเอียดแล้วที่เหลือท่านก็แค่เตรียมความพร้อมและเตรียมใจลุยเลยครับ   อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่อย่างไรก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้บ้างก็ดีนะครับ ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ผมเตือนท่านแล้วนะ

ปรับวิธีการเล็กๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงมหาศาล สร้าง work life balance ในองค์กร ได้อย่างยั่งยืน

ท่านไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นทุกวันของการทำงานด้วยการเริ่มต้นทำอะไรที่ใหญ่โตเกินตัว หรือยุ่งยากจนทำให้ปวดหัว   แต่ต้องทำให้เป็นวันที่มีประสิทธิภาพ การเริ่มต้นแบบนั้นมักทำให้เราเบื่อและรู้สึกว่ามันช่างยากเย็นอะไรขนาดนี้    เมื่อเริ่มต้นจากสิ่งที่ยากเกินไป   เราจะล้มเลิกมันกลางคันได้ง่าย   เอาเป็นว่าท่านแค่ลองปรับวิธีการหรือขั้นตอนเล็กๆบางอย่างในการทำงานเดิมๆของท่าน   ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็อาจสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมหาศาล   ท่านอาจพบความมหัศจรรย์อันน่าทึ่งจนทำให้ตนเองอาจรู้สึกขวยเขินและพูดขึ้นมาว่าไม่รู้ตัวว่า “รู้แบบนี้ทำไปเสียตั้งนานแล้ว” ก็ได้  เช่น หลายคนเวลาที่ขึ้นรถ Taxi แล้วชอบลืมของไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป กระเป๋าเงิน ถุงกับข้าว ลืมได้เสียทุกอย่าง บางคนลืมเป็นนิสัยจนถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าเจอคนขับ Taxi นิสัยดี ซื่อสัตย์เจอของแล้วเอาไปส่งคืนเจ้าของก็ถือว่าโชคดี

แต่อย่างที่ผมว่าอย่าไปหวังเรื่องโชคอะไรเลยครับ Taxi ดีๆมีเยอะ เพียงแค่ท่านหาไม่เจอเท่านั้นเอง  ช่วยเหลือตัวเองดีกว่า ลองปรับวิธีการเล็กๆครับ   เช่น ตอนที่คุณกำลังก้าวลงจากรถ แค่เหลียวขวาไปมองที่เบาะนั่ง  ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ท่านก็ไม่ต้องมาเสียเวลาไปแจ้งตำรวจหรือไปขอร้องให้สถานีวิทยุ จส.100 ช่วยตามหาของ เห็นไหมครับ แค่ปรับวิธีการเล็กๆ ก็ไม่ต้องมานั่งปวดหัว แก้ปัญหายุ่งยากที่ตามมาแล้วครับ https://bit.ly/3LHWFRs

ในขณะที่ท่านกำลังโมโห เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเวลาที่ใครพูดอะไรออกมาแล้วไม่เข้าหู    ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือใส่ร้ายท่าน   เพราะผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ผมเชื่อว่าเมื่อท่านได้ฟังสิ่งที่เขาพูด   ท่านอาจจะพูดสวนเขาไปทันที   คำพูดของท่านคงเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกไม่พอใจ   ตอนนั้นเองที่ท่านกำลังทำให้เหตุการณ์มันย่ำแย่ลง วันนั้นที่เหลือจะเป็นวันที่มีแต่ปัญหาและบรรยากาศของสถานที่ทำงานที่ไม่น่าอยู่เลย เหมือนที่หลายคนชอบแซวกันว่า “บรรยากาศมาคุ”

ท่านแค่ลองหยุดตัวเองสักนิดไม่ให้หลงไปตามอารมณ์  อย่าเพิ่งพูดสวนอะไรออกไป ให้เขาพูดให้จบก่อน  ตอนนี้เป็นหน้าที่ของสติที่จะใช้จัดการกับสถานการณ์การเผชิญหน้า   ไม่ใช่หน้าที่ของอารมณ์     หลังจากที่เขาพูดจบแล้วท่านค่อยอธิบายด้วยหลักเหตุและผล  ตัดเรื่องท่าทีและวาจาของเขาที่ท่านไม่พอใจออกไป   ตัดความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเป็นการส่วนตัวออกไป   ชี้แจงและอธิบายตามความเป็นจริง แค่นี้ท่านก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมหาศาลแล้ว

เวลาที่ลูกค้าร้องเรียนการให้บริการของพนักงาน  ลูกค้าต่อว่าเรื่องคุณภาพสินค้าไม่เป็นไปตามที่โฆษณา  ซื้อรถป้ายแดงแต่ได้รถที่มีสนิม   เสียงลมเข้าในห้องโดยสาร   พนักงานไม่สุภาพในการให้บริการ  เกิดความผิดพลาดเรื่องการสื่อสารโปรโมชั่นที่พนักงานขายกับลูกค้าเข้าใจไม่ตรงกัน    ท่านรู้ไหมว่าสิ่งที่ทำให้ลูกค้าไม่พอใจที่สุดเวลาที่ต้องร้องเรียนอะไรไปที่บริษัทผู้รับผิดชอบ คืออะไร    เท่าที่ผมสัมผัสมาไม่ใช่เรื่องการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของลูกค้าที่บริษัทอาจไม่สามารถชดเชยได้ตามที่ลูกค้าต้องการทุกอย่าง   แต่เป็นเรื่องที่ต้องให้ลูกค้า หรือคนที่ร้องเรียนเป็นฝ่ายโทรมาตามเรื่องที่ร้องเรียนว่าอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาใดของบริษัท     ลูกค้ามักจะหงุดหงิดเพราะส่งเรื่องไปแล้วก็หายเงียบ    ทำเหมือนไม่เห็นความสำคัญ ถามใครในบริษัทก็โยนกันไปมา ไม่มีใครรู้เรื่องและเข้ามารับผิดชอบสักคน   จนลูกค้าทนไม่ไหวต้องเอาไปโพสต์ในเว็บไซต์   นักข่าวเห็นเอาไปออกข่าวโทรทัศน์ ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เสื่อมเสียภาพลักษณ์องค์กร คนที่อยากจะลองซื้อของคุณอ่านเจอแบบนี้เข้าก็เข็ดขยาดไม่อยากมาเป็นลูกค้าด้วย

บางบริษัทแก้ปัญหาแบบนี้ด้วยการเสียเงิน ลงทุนซื้อสื่อโฆษณาหลายสิบล้าน เพื่อหวังจะกลบปัญหาที่เกิดขึ้น มีนโยบายลด แลก แจก แถม เพื่อเรียกลูกค้ากลับมา สถานการณ์แบบนี้ถ้าทำแล้วสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศของที่ทำงานจะมีแต่พวกที่เอาตัวรอด โยนกันไปมา ไม่มีคนอยากรับเผือกร้อนจากฝ่ายงานอื่น

ท่านว่าจะดีกว่าไหมถ้าผู้บริหารไม่เอาแต่นั่งอยู่ในห้องแอร์ รอรับแต่รายงาน  เพียงแค่เดินลงไปพูดคุย แสดงความเอาใจใส่การทำงานกับพนักงานใน Shop ลงไปดูหน้างาน ไปถามสารทุกข์สุขดิบของทีมงานว่าเขาเป็นอยู่อย่างไร   ทำงานมีปัญหาติดขัดอะไรบ้างไหม  จะได้ช่วยกันดูแล ตรวจสอบ เน้นย้ำ กันตั้งแต่ยังไม่มีเรื่องราวปัญหาเกิดขึ้น  ถ้าคุณเอาแต่อยู่บนหอคอยงาช้าง บางทีลูกน้องก็ไม่กล้าที่จะเข้ามารายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แค่คุณปรับเปลี่ยนวิธีการเล็กๆด้วยการก้าวออกมาจากห้องทำงานของท่าน  เดินไปหาพวกเขา ทักทายพวกเขาอย่างเป็นกันเอง ฟังความคิดเห็นของเขา

ผมว่าแค่นี้บรรยากาศหลายอย่างในการทำงานร่วมกันน่าจะดีขึ้น คุณภาพชีวิตน่าจะดีขึ้น เมื่อบรรยากาศดีขึ้น ช่องว่างระหว่างผู้บริหารและพนักงานน้อยลง เวลาติดขัด มีปัญหาอะไรจะได้ร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว

ก่อนนอนในแต่ละวัน อย่าลืมชื่นชมตัวเอง

พลังใจเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ คำชมเชยเป็นรางวัลง่ายสุดที่เราควรมอบให้กับตัวเองในทุกวันก่อนเข้านอน  ถ้าคุณทำได้  ผมรับประกันว่าคืนนั้นท่านจะเข้านอนอย่างมีความสุขกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน      ระลึกหน่อยสิครับว่าวันนี้ คุณได้ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น  คุณได้นำสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์เข้ามาสู่ชีวิตการทำงานได้สำเร็จ   และตลอดทั้งวันคุณประทับใจกับเรื่องอะไร เช่น วันนี้ผมควบคุมอารมณ์ได้แล้วนะเวลาที่เห็นคุณจอยชักสีหน้าใส่ตอนที่คุยงานกัน   หรือ  วันนี้ผมสามารถควบคุมการประชุมให้จบในเวลาที่กำหนด และบรรยากาศการประชุมก็ดีมากๆอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน  และตั้งใจไว้ก่อนล้มตัวลงนอนว่า พรุ่งนี้ฉันจะทำให้ได้ดีกว่านี้อีก แค่นี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงฝีมือของคนอย่างฉันอยู่แล้ว

ถ้าท่านสามารถทำแบบนี้ได้ทุกวัน ท่านจะกลายเป็นคนใหม่   ท่านได้ก้าวข้ามออกมาจากวงจรของคนที่ล้มเหลว     ท่านกำลังสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดกับชีวิตในหนึ่งวันของท่าน   พรุ่งนี้เช้าท่านจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับสิ่งดีในชีวิต กับความหวังและพลังอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น

วิธีการง่ายๆที่ผมเสนอมา ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกหรือเป็นการเล่นสนุกของเด็ก แต่ถ้าท่านได้ลองทำดูสักครั้งผมรับรองว่าท่านจะติดใจ   ท่านจะพบว่าตัวเองอยากปรับปรุงและทำหลายอย่างให้ดีขึ้นในแต่ละวัน โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ  ท่านจะลงมือทำสิ่งที่ดีขึ้นมาอีกมากมายในวันรุ่งขึ้น  เพื่อที่จะได้มีเรื่องราวของความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนตัวเองกลับมาชื่นชมตัวเองในแต่ละวันก่อนนอน

จะดีไม่น้อยถ้าท่านนำวิธีดังกล่าวไปใช้ในที่ทำงาน  ประกาศเรื่องราวดีๆที่ท่านทำได้สำเร็จ นำเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ไปเผยแพร่ให้เพื่อนในที่ทำงานรับรู้  ทำแบบนี้หลายคน วันหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรในอนาคต   เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงในองค์กรของท่าน ทุกวันในการทำงานของท่านจะกลายเป็นวันทำงานอันยอดเยี่ยม

บทสรุป

การสร้าง work life balance ในองค์กร เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ เพราะส่งผลถึงคุณภาพชีวิตของพนักงาน หากพนักงานไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ย่อมไม่สามารถสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมส่งมอบให้กับลูกค้าได้ การสร้างวันทำงานอันยอดเยี่ยม ย่อมนำมาซึ่งผลงานอันสุดยอด